เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคารเฉลิมพระบารมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาควิชาจักษุวิทยา จัดให้มีกิจกรรมงานวันต้อหินโลกให้ความรู้แก่ผู้สนใจ ในเรื่องเกี่ยวกับต้อหิน ให้มีการตื่นตัว และทราบถึงความสำคัญของการตรวจตาในเวลาที่เหมาะสม โดยมี รศ.พญ.อรินทยา พรหมินธิกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธี โดยกล่าวว่า โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ มีนโยบายจัดกิจกรรมเนื่องในวันต้อหินโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความรู้และความตระหนักเกี่ยวกับโรคต้อหินให้กับประชาชน กิจกรรมเหล่านี้มุ่งเน้นการป้องกันและลดภาวะตาบอดจากโรคต้อหิน โดยภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลักดันให้มีโครงการตรวจคัดกรองต้อหินประจำปีสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน พัฒนาแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยต้อหินให้เข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วขึ้น บูรณาการการให้ความรู้เรื่องต้อหินในการอบรมบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและตะตรวจคัดกรองต้อหิน โดยหวังว่า มีผู้เข้ารับการตรวจคัดกรองต้อหินเพิ่มขึ้น สามารถพัฒนาแนวทางป้องกันและรักษาต้อหินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลและเฝ้าระวังโรคต้อหิน

  ด้าน รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงนภาพร ตนานุวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า โรคต้อหินเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะตาบอดถาวร โดยส่งผลกระทบต่อลานสายตา และอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคต้อหิน แต่พบว่าผู้ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นโรคต้อหิน ผู้ที่มีความดันลูกตาสูงกว่าปกติ รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงขั้วประสาทตาได้ไม่ดี นอกจากนี้ ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือสายตายาวมากก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน องค์การอนามัยโลกได้ให้ความสำคัญกับการคัดกรองและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคต้อหิน จึงกำหนดให้สัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคมของทุกปีเป็น "สัปดาห์ต้อหินโลก"

  ขณะที่ ผศ.นพ.ดำรงค์ วิวัฒน์วงศ์วนา อาจารย์ประจำหน่วยต้อหิน ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า ในปัจจุบันโรคต้อหิน เป็นสาเหตุของภาวะตาบอดของประชากรในเมืองไทยและทั่วโลกคิด เป็นอันดับสองรองจากโรคต้อกระจก แต่ภาวะตาบอดที่เกิดจากโรคต้อหินไม่สามารถรักษาให้กลับมาเห็นได้ตามปกติหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรค อัตราความชุกของโรคต้อหินพบเพิ่มขึ้นตามอายุ ในประเทศไทย ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี พบมีความซุกของโรคร้อยละ 2 และเพิ่มเป็นร้อยละ 6 เมื่ออายุมากกว่า 60 ปี ผู้ป่วยต้อหินในระยะแรกจะไม่มีอาการผิดปกติ ไม่มีตามัว ไม่มีปวดตา ดังนั้นหากไม่ได้รับการตรวจตาเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัว มองเห็นภาพแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตาบอดในที่สุด ปัจจุบันมีผู้ป่วยต่อหินเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น

  สำหรับกิจกรรมภายในงานวันต้อหินครั้งนี้ ประกอบด้วยการเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ "โรคต้อหิน" โดยคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช. ได้แก่ ผศ.นพ.ดำรงค์ วิวัฒน์วงศ์วนา, ผศ.พญ.ธิดารัตน์ ลีอังกูรเสถียร และรศ.พญ.ลินดา หรรษภิญโญ นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคต้อหิน และบริการตรวจคัดกรองภาวะต้อหินและตรวจสุขภาพตาเบื้องต้นให้แก่ประชาชนที่สนใจ โดยมีผู้เข้าร่วมงานให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก